อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำยาแอร์รุ่นเก่านั้น ยังมีข้อด้อยอยู่มาก โดยเฉพาะข้อสำคัญคือ การทำลายสิ่งแวดล้อมอันก่อให้เกิดปรากฏการณ์ภาวะเรือนกระจกนั่นเอง ภาวะเรือนกระจกก็ทำให้เกิดภาวะโรคร้อนซึ่งมันกำลังกัดกร่อนทำลายโลกของเราอย่างช้าๆ แต่ในปัจจุบันนี้ทุกภาคส่วนกำลังลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง รวมทั้งใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการคิดค้นผลิตน้ำยาแอร์รุ่นใหม่ที่สามารสร้างความเย็นฉ่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น รวมทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
- เรื่องสำคัญ คือ ปัญหาการทำลายชั้น Ozone อันก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก ลามไปยังปัญหาระดับโลกอย่างภาวะโลกร้อน น้ำยา R32 นั้นไม่มีค่าในการทำลายโอโซนเหมือนน้ำยา sbobet24 , R410A นอกจากนี้มันยังมีอัตราอันก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนน้อยที่สุดส่วนน้ำยา R410A สามารถทำลายได้มากสุด หากเปรียบเทียบจากน้ำยา 3 ชนิดนี้
- ราคาน้ำยา ซึ่งน้ำยาราคาแพงสุด คือ R410A มีราคาอยู่ที่ประมาณ กิโลละ 700-800 บาท ส่วน R22 กับ R32 มีราคาใกล้เคียงกัน ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ประมาณ 300-400 บาท
- ถ้าเกิดเหตุน้ำยารั่วในระบบแอร์ ในส่วนของ R-410A ต้องทำการถ่ายทิ้งน้ำยาให้เหลือศูนย์ แล้วค่อยเติมเข้าไปใหม่อีกรอบ ไม่สามารถเติมได้ เนื่องจากสัดส่วนน้ำยาอยู่ที่ 50%R32 + 50% R125 ไม่เกินนี้ ส่วนน้ำยา R22 และ R32 มีความสามารถเหมือนกันคือเติมน้ำยาลงไปได้เลย เพราะพวกมันจัดเป็นสารเชิงเดี่ยวไม่ใช่เป็นสารผสม
- ถ้าเกิดช่างต้องเติมน้ำยาในรูปแบบของเหลวเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องทำการการคว่ำถังน้ำยาของ R410A แต่ R32 กับ R22 สามารถเติมลงไปได้ทั้งในรูปแบบของเหลว หรือ แก๊ส ก็ย่อมได้
- หากพูดถึงความดันของน้ำยา R32 กับ R410A ทั้ง 2 นี้มีความดันใกล้เคียงกัน อีกทั้งเครื่องมือใช้ในการติดตั้งหรือการบริการก็สามารถใช้ร่วมกันแทนกันได้ แต่ R22 เป็นน้ำยาแรงดันต่ำจึงไม่อาจใช้กับ R410A และ R32 ได้นั่นเอง
- จุดเดือดน้ำยาของนำยา R32 มีระดับต่ำสุด เพราะฉะนั้น Compressor จึงทำงานเบาสุด แน่นอนว่าส่งผลให้ได้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นดีกว่า รวมทั้งยังสร้างความเย็นเร็วกว่า R410A และ R22 อีกด้วย
หากเปลี่ยนจาก R22 ไปยัง R32 ซึ่งมันมีแรงดันที่มากกว่า R22 และน้ำมัน Compressor ที่ใช้กับ R32 จะเป็น Ether oil ที่มาแทนน้ำมัน SUNISO ซึ่งใช้กับ R22 ถ้าผสมน้ำมันแบบไม่เหมาะอาจก่อให้เกิดตะกอนรวมทั้งทำให้ปัญหาใหญ่ตามมา เพราะฉะนั้นเครื่องมือซ่อมบำรุงซึ่งใช้กับระบบ R22 เช่น guage manifold รวมทั้งสายทำความเย็น จึงไม่อาจใช้ร่วมกับ R32 ได้ แน่นอนว่าต้องใช้เครื่องมือแบบเฉพาะสำหรับ R32 เสมอ
น้ำยาแอร์แต่ล่ะตัวที่กล่าวมานี้ ทำหน้าที่แบบเดียวกันหมดครับ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าสารนั้นก่อให้เกิดมลพิษแก่โลกเรามากน้อยแค่ไหน อย่างเช่นสมัยก่อนหน้านั้น แอร์จะใช้น้ำยา R12 ซะส่วนใหญ่ครับ เพราะเนื่องด้วยเทคโนโลยียังไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ มันยังใช้ขวดบรรจุอยู่เลยครับ ผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ไม่น่าจะมีแอร์ตกรุ่นแบบนั้นอยู่แล้วครับ เพราะรัฐบาลสั่งประกาศไม่ให้ใช้ไปล่ะ เพราะทำลายชั้นบรรยากาศโลกเสียหาย น้ำยาตัวนี้จะไม่มีวันสลาย ทำให้เกิดภาระโลกร้อนขึ้นกับโลกของเรา ปัจจุบันพวกเจ้าของยี่ห้อแอร์ในแต่ล่ะเจ้า ก็กำลังจะเลิกใช้ R22 กันแล้วครับ เนื่องด้วยราคาถูกยี่ห้อบางอย่างก็นำกลับมาใช้ เพราะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย แต่ก็มีเจ้าที่ใช้น้ำยา R410a ไม่น้อยเช่นเดียวกัน เพราะมันทำงานได้ดีกว่า ประสิทธิภาพดีกว่าเห็นๆ รักสิ่งแววล้อมมากยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคือราคาจะค่อนข้างสูงครับ เพราะยังเป็นน้ำยาแอร์ที่มาใหม่อยู่ กิโลกรัมนึงก็หลายร้อยอยู่น่ะครับ แต่ไม่นานมานี่ น้ำยาตัวใหม่ก็เกิดขึ้น คือ R32 ซึ่งพัฒนามาจากตัว R410a ซึ่งให้ประสิทธิภาพความหนาแน่นที่มากกว่า ให้ความเย็นเร็วกว่า รวมที่ถึงเข้ากับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ที่สำคัญราคาถูกกว่าตัว R410a เท่าตัวเลยครับ สำหรับคนที่คิดว่าน้ำยาแอร์ต้องเติมตลอดถ้าไม่เติมแอร์จะไม่เย็นนั่นคือความคิดที่ผิดครับ น้ำยาแอร์ที่ใส่ไปในแอร์มันเป็นระบบปิดครับ ซึ่งมันจะรั่วไหลออกมาอยู่แล้ว แต่ถ้าช่างมาเช็คน้ำยาบอกต้องเติม ก็ควรบอกช่างให้เช็คลอยรั่วของท่อส่งน้ำยาเลยครับ แล้วอีกกรณีบางทีช่างมาล้างแอร์บอกเติมน้ำยาฟรีอย่างนี้นะครับ คือถ้ามันไม่รั่วจะไปเติมทำไม ระวังช่างแอบว่างยากันน่ะครับ หาอ่านไว้ประดับความรู้บ้างก็ดีครับเรื่องนี้ เรื่องใกล้ตัวครับ