วิธีเลือกซื้อแอร์ เลือกยี่ห้อไหนดี

หน้าร้อนกำลังเวียนมาบรรจบอีกครั้ง อากาศก็ร้อนระอุจนแทบขาดใจขึ้นทุกปี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแอร์ใหม่สักตัว วันนี้เรานำวิธีเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด มาฝากกัน

ขนาด BTU กับ ขนาดพื้นที่

ข้อมูลแรกที่คุณต้องรู้ในการเลือกซื้อแอร์ คือ คุณจะต้องใช้แอร์กี่ BTU ค่า BTU คือ หน่วยในการถ่ายเทความร้อนออกจากห้อง และสร้างความเย็นภายในห้อง โดยคิดเป็นหน่วยต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกขนาด BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง โดยมีวิธีคำนวณ ดังนี้…

ขนาด BTU สำหรับห้องทั่วไป = ความกว้าง x ความยาว x 600

เช่น ห้องของคุณกว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร เพราะฉะนั้นขนาด BTU ที่เหมาะสม คือ 4 x 5 x 600 = 12,000 BTU

และการเลือกซื้อแอร์สำหรับห้องที่มีตัวแปรอื่นๆ เข้ามา เช่น เพดานสูง , มีแดดส่องจัด เป็นต้น ให้คุณเปลี่ยนจากตัว X จาก 600 เป็น 800 แทน หรืออาจปรับขึ้นไปถึง 1,000 ได้ หากแต่ขนาดของ BTU ทั่วไป คือ กว้าง x ยาว x 800

เช่น ห้องกว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร มีเพดานสูง สูงมากกว่า 2.5 เมตรขึ้นไป ขนาด BTU คือ 4 x 5 x 800 = 16,000 BTU

สำหรับการเลือกซื้อแอร์ เพื่อนำมาใช้งานในสถานที่มีคนอยู่มากกว่าปกติ เช่น Office , ร้านค้า , ร้านอาหาร เป็นต้น ให้คำนวณ ดังนี้ กว้าง x ยาว x 1,200 เช่น ห้องกว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร สามารถคิดได้ ดังนี้ 4 x 5 x 1,200 = 24,000 BTU

มาทำความรู้จัก ค่า EER กันเถอะ คุณจะได้รู้ว่าแอร์ รุ่นไหน กินไฟน้อยสุด

ค่า EER คือ ค่าของแอร์ ในการใช้พลังงาน โดยวัดจากความสามารถในการทำความเย็น ต่อกำลังไฟที่ใช้ไปหรือกำลังวัตต์ เพราะฉะนั้นถ้าค่า EER ยิ่งสูงเท่าไหร่ แปลว่าแอร์เครื่องนั้นยิ่งกินไฟน้อย

ค่า SEER คือ ค่าประสิทธิภาพ ในการใช้งานของแอร์ โดยจะนำค่าเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศมาเป็นปัจจัยร่วมด้วย จึงทำเกิดความใกล้เคียงในการใช้พลังงานจริงมากขึ้น ค่า SEER ใช้วัดกับเครื่องปรับอากาศชนิด Inverter หรือ Variable Speed ได้ ถ้าค่าวัดออกมาสูงแสดงว่าแอร์เครื่องนั้นกินไฟน้อยตามลำดับตัวเลข โดยส่วนใหญ่แล้ว เครื่องแอร์ในปัจจุบันจะเป็นชนิด Inverter ทำให้ประหยัดไฟได้มากขึ้น จำเพียงสั้นๆ ไว้ว่า ค่า EER ยิ่งสูง ยิ่งกินไฟน้อย นั่นเอง

เน้นประหยัดไฟ ต้องระบบ Inverter

แอร์ที่มีระบบ Inverter ช่วยประหยัดไฟได้จริง ข้อดีของมัน คือ สร้างความเย็นคงที่ เงียบในการใช้งาน ทำงานต่อเนื่องแบบลดรอบ แตกต่างจากคอมแอร์ธรรมดาที่ต้องตัดไฟ แล้วค่อยทำความเย็นใหม่ ถึงแม้จะมีราคาสูงแต่ในระยะแล้วประหยัดกว่ามาก